ลักษณะการกินเฉพาะของคนเกาหลี
วัฒนธรรมการกินของเกาหลีส่วนใหญ่ มักจะสอดแทรก ไปกับรายการทีวี ซีรีย์เกาหลี ต่าง ๆ ที่ซึ่งพอเราดูแล้วก็ทำให้ใครหลายกิน อยากจะกินตามนักแสดงเหล่านั้นทันที วันนี้เราจะมาพูดถึงลักษณะการกินของคนเกาหลีกันค่ะ
ลักษณะการกินเฉพาะแบบของคนเกาหลี
- กินแบบเอาทุกอย่างผสมกัน ตามลักษณะนิสัยของคนเกาหลีประมาณ 80% ถ้ากินเมนูซุปจะต้องเทข้าวของในน้ำซุป และกินทุกอย่างพร้อมๆกัน หรือแม้แต่หลายๆเมนูของอาหารเกาหลีก็นิยมผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน และกินพร้อมกันทีเดียวเช่น บิบิมบับค่ะ อาจเพราะคนเกาหลีต้องการลดเวลาในการกินหรืออาจเพราะการผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันทำให้รสชาติของอาหารดีขึ้น ทำให้คนเกาหลีนิยมกินทุกอย่างแบบรวมๆกัน ซึ่งแตกต่างจากคนไทยที่มักจะแยกข้าวกับกับข้าวอย่างชัดเจนค่ะ (แต่ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนด้วยค่ะ) สำหรับคนเกาหลีแล้ว บิบิมบับคือเมนูอาหารที่สามารถทำได้ง่ายมากเพียงแค่เปิดตู้เย็น และเอาทุกอย่างที่เหลือคนรวมๆกัน และใส่ซอสก็เป็นบิบิมบับแล้วค่ะ (กินทุกอย่างผสมกันจริงๆ)
- ของว่างมื้อหนัก เชื่อหรือไม่ว่า “ต๊อกบกกีและซุนแด” เป็นอาหารว่างของคนเกาหลี คนเกาหลีส่วนใหญ่ให้คำจำกัดความของมื้ออาหารคือ “ต้องมีข้าว” ดังนั้นเมนูอื่นๆที่ไม่มีข้าวก็จะเปรียบเทียบเหมือนกับของว่าง แต่ในความเป็นจริงคือแต่กินของว่างก็อิ่มจนจุกแล้วค่ะ จากการสังเกตเพื่อนเกาหลีรอบๆตัว หลายคนเลือกกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพร้อมกับคิมบับ เพราะว่าถ้ากินบะหมี่อย่างเดียวรู้สึกเหมือนกับว่ากินแค่ของว่างค่ะ ทำให้หลายครั้งเวลาที่อออกไปกินข้าวกับเพื่อนเกาหลีจะต้องกินเยอะมากๆ เพราะต้องกินทั้งต๊อกบกกี และอาหารหนักๆอีก 1 มื้อ
- กินแบบยกซด ตามมารยาทบนโต๊ะอาหารของไทย การยกถ้วยซดถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ แต่ที่เกาหลีการยกถ้วยซดหลังจากทานเสร็จเปรียบเสมือนว่า อาหารมื้อนั้นอร่อยมากๆ จนอยากกินทั้งหมดเลยค่ะ ซึ่งตรงข้ามกับหลายประเทศ ที่ถึงแม้อาหารจะอร่อยมากแค่ไหน ก็ยังใช้ช้อนในการตักอยู่ดี ความจริงการกินแบบยกซดก็มี ข้อดีคือสามารถกินอาหารได้แบบหมด 100% จริงๆ (คุ้มเลย) และอาจเพราะถ้วยชามที่ร้านอาหารเกาหลีใช้ส่วนใหญ่เป็นแบบเครื่องปั้นดินเผาที่ทั้งหนัก และหนา ทำให้การยกถ้วยซดเป็นเรื่องยากสำหรับคนต่างชาติ แต่ถ้าใครอยากจะลองยกซดบ้างก็ไม่ว่ากันค่ะ
- ป้อนอาหารด้วยมือ หนึ่งในวัฒนธรรมการกินของเกาหลีเรียกว่า การกินแบบซัม (쌈) คือการใช้มือในการห่อผักและเนื้อสัตว์ค่ะ ความจริงแล้วยังมีหลายประเทศที่ยังคงมีวัฒนธรรมการกินอาหารด้วยมือ และในการเกาหลีการกินอาหารด้วยมือไม่ได้กินเฉพาะตัวเองเท่านั้น แต่ยังเอาไปป้อนให้คนอื่นด้วยค่ะ สำหรับคนเกาหลีแล้ว การป้อนอาหารด้วยมือเป็นสิ่งที่แสดงความรัก และมักจะทำกันภายในสมาชิกครอบครัวหรือคนที่สนิทด้วยเท่านั้นค่ะ แต่เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดทำให้เรารู้สึกว่าการกินอาหารด้วยมือไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ค่ะ
- เน้นการกินแป้ง ตั้งแต่สมัยอดีตคนเกาหลีมีนิสัยกินข้าวปริมาณมากๆ นั้นก็เพราะเมื่อก่อนขาดแคลนเนื้อสัตว์ จึงจำเป็นต้องกินข้าวมากๆเพื่อให้อิ่มท้อง และมีพลังงานเพียงพอค่ะ นั้นทำให้หลายๆเมนูของอาหารเกาหลีมีส่วนผสมหลักที่ทำจากข้าวและแป้งค่ะ บางเมนูแทบไม่มีเนื้อสัตว์เลย เช่น คัลกุกซูหรือก๋วยเตี๋ยวเกาหลีที่มีเนื้อสัตว์น้อยมาก (แทบนับชิ้นได้) หรือบิบิมมยอนที่มีแต่ไข่กับผัก ส่วนตัวเราคิดว่าเป็นเมนูที่สารอาหารไม่ครบ (เพราะไม่มีเนื้อสัตว์) แต่สำหรับคนเกาหลีก็กินกันเป็นเรื่องปกติเลยค่ะ
แรกเริ่มเดิมทีเกาหลีเป็นประเทศเกษตรกรรม และชาวเกาหลีเพาะปลูกข้าวเป็นอาหารหลักมาตั้งแต่โบราณกาล มาในสมัยนี้อาหารเกาหลีจะเป็นตำหรับซึ่งประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์นานาชนิด ปลา พร้อมด้วยพืชสีเขียวและผักต่างๆ อาหารหมักดองต่างๆ เช่น กิมจิ จอทกอล (jeotgal) (อาหารทะเลหมักเกลือ) และ ดนจัง (deonjang) (ถั่วเหลืองหมักเหลว) ขึ้นชื่อในรสชาติโดยเฉพาะและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง จุดเด่นในการตั้งโต๊ะอาหารเกาหลีคืออาหารจานต่างๆ ถูกนำมาจัดวางในคราวเดียวกัน โดยการปฏิบัติสืบทอดกันมา มีการเสิร์ฟอาหารประเภทออร์เดิฟเริ่มจากอาหร 3 ชนิด สำหรับสามัญชนถึง 12 ชนิดสำหรับชนชั้นวงศานุวงศ์ การจัดโต๊ะอาหารต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่ามีการเสิร์ฟอาหารจานก๋วยเตี๋ยวหรือเนื้อหรือไม่ มีการแสดงการจัดโต๊ะอาหารตามกฏระเบียบให้ผู้สนใจเรื่องอาหารและการรับประทานอาหารได้เห็น หากจะเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีนและญี่ปุ่นแล้วเกาหลีนิยมใช้ช้อนมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเสิร์ฟน้ำซุป
อาหารเกาหลี เป็นอาหารที่ได้รับการพัฒนาเพื่อให้ตอบรับกับภูมิอากาศในภูมิภาคที่ฤดูหนาวกินเวลายาวนาน อาหารเกาหลีจึงเป็นอาหารที่มีเทคนิคการถนอมอาหารพิเศษที่พัฒนาขึ้นเพื่อเก็บรักษาวิตามินในสูตรอาหารประเภทผัก “กิมจิ” เป็นตัวอย่างอันเป็นสัญลักษณ์ของอาหารหมักดอง ความจริงที่ว่ากิมจิจะมีรสชาติเค็มขึ้น ถ้าใครนำมันจากทางเหนือที่หนาวเย็นมาสู่ทางใต้ที่อบอุ่นกว่า
เกาหลีเป็นประเทศเกษตรกรรม และชาวเกาหลีเพาะปลูกข้าวเป็นอาหารหลักมาตั้งแต่โบราณกาล มาในสมัยนี้ อาหารเกาหลีจะเป็นตำหรับ ซึ่งประกอบด้วย เนื้อสัตว์นานาชนิด ปลา พร้อมด้วยพืชสีเขียวและผักต่าง ๆ อาหารหมักดองต่าง ๆ เช่นกิมจิ จอทกอล Jeotgal คืออาหารทะเลหมักเกลือ และดนจัง (Deonjang) หรือถั่วเหลืองหมักเหลว ซึ่งขึ้นชื่อในรสชาติโดยเฉพาะ และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง พูดถึงอาหารเกาหลี คนทั่วไปจะนึกถึงรสชาติเผ็ดร้อนของพริก และกลิ่นกระเทียม แต่ที่จริงอาหารเกาหลี มีหลากหลายรสชาติ แต่ละมื้อจะมีอาหารตั้งแต่ 3 ชนิด ไปจนถึง 12 ชนิด สำหรับราชวงศ์ หรือเศรษฐี ประกอบด้วย ข้าวหรือโจ๊กหุงพร้อมกับถั่วต่าง ๆ ฟักทอง โสม เห็ด ธัญพืชอื่น ๆ อาจเติมเนื้อสัตว์อย่าง ไก่ หรือหอย จานถัดมา จะเป็นซุป สตูว์ ผัก และเนื้อสัตว์ ซึ่งปรุงด้วยวิธีการต่าง ๆ
อาหารเกาหลีจะมีลักษณะเป็น หยิน-หยาง ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญ หลักคิดแบบ หยิน หยาง ตามการแพทย์แผนจีนนั้น ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้จะประกอบไปด้วยสองด้าน ซึ่งด้านทั้งสองจะอยู่ตรงข้ามกัน แต่ต่างฝ่ายต่างต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน เพื่อช่วยรักษาสมดุลให้กับร่างกาย เช่น ชาวเกาหลีนิยมรับประทาน ซัมเกทัง หรือซุปไก่โสม เพื่อเรียกกำลังในช่วงฤดูร้อน หรือหากอากาศหนาวเย็น ร่างกายต้องการอาหารเพื่อทำให้อบอุ่น ต้องกิน “ชินซอลโล” หรือหม้อร้อนที่ประกอบด้วยเนื้อปลา ผัก หรือเต้าหู้ ซึ่งนิยมทานช่วงหน้าหนาว เป็นต้น ชาวเกาหลีเชื่อว่า อาหาร คือยาในชีวิตประจำวัน หากกินอาหารที่ไม่สอดคล้องกับสภาพร่างกายแล้ว เราอาจเจ็บป่วยได้ และหากเรามีพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสมเช่นนั้นเป็นเวลานาน โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นย่อมยากที่จะรักษาให้หายได้ ดังนั้น ชาวเกาหลีจึงมักใช้อาหารเป็นยา เช่น โสม ตังกุย และพืชผักสมุนไพรอื่น ๆ ความจริงสมัยก่อน การปรุงอาหารของเกาหลีไม่นิยมใช้เครื่องปรุงรสมากนัก และพริกก็เพิ่งแพร่หลายเมื่อศตวรรษที่ 16 ผ่านโปรตุเกส สเปน เข้ามาทางญี่ปุ่น
อาหารในวังหลวง
คนโบราณของเกาหลีคิดว่า อาหารนอกจากทำให้อิ่มท้องแล้ว ยังมีผลต้านการบำรุง อาหารกับการแพทย์มาจากแหล่งเดียว พืชผักทุกชนิดล้วนมีสรรพคุณทางยา ใช้รักษาโรคภัยและบำรุงร่างกาย ในวังหลวงจึงมีแพทย์ทางโภชนาการคอยดูแลเรื่องอาหารการกิน โดยดูจากพระพลานามัยของพระราชา หยินและหยาง 5 ธาตุ ปรับเป็นสูตรอาหาร 5 รส บางครั้งก็ให้งดของแสลง เพื่อป้องกันโรคภัย ทำให้นางกำนัลต้องพลอยมีความรู้ด้านนี้ไปด้วย นอกจากเน้นความอร่อยแล้ว สุขภาพของพระราชาก็เป็นสิ่งสำคัญ อาหารในวังหลวง นอกจากมีนางกำนัลคอยดูแลแล้ว บางส่วนก็ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งก็คือพ่อครัวมืออาชีพที่ชำนาญเรื่องอาหาร
ตามประวัติศาสตร์จารึก ในราชวงศ์ “โซซอน” ว่ากันว่า การเสวยของพระราชาเกาหลี มักจะมีข้าวสองชาม ชามหนึ่งเป็นข้าวธรรมดา ส่วนอีกชามเป็นข้าวผสมข้าวหนียว แล้วหุงด้วยน้ำถั่วแดงอีกที เพราะเชื่อว่าการกินข้าวแดง จะช่วยสะเดาะเคราะห์ให้พ้นภัย สมัยก่อนพระราชาเกาหลีจะเสวยวันละ 5 มื้อ มื้อเช้าที่สุดก็ประมาณ ตี5 ตี6 เรียกว่า “มื้อรุ่งอรุณ” ส่วนมื้อเช้าประมาณสิบโมงเช้า ต่อด้วยมื้อเที่ยว มื้อเย็น และสุดท้ายคือคือมื้อดึก ส่วนใหญ่ก็เป็นผลไม้ ขนมหวานหรือเกี๊ยว
อาหารราชสำนักเป็นเรื่องราวความพิถีพิถัน ในการปรุงแต่งให้สวยงาม และเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง โดยอาหารอันเป็นเอกลักษณ์ของอาหารราชสำนัก คือ ซอล โล และกูล ชอน พัน ที่มีวิธีการเสิร์ฟตามแบบประเพณีนิยม สิ่งสำคัญขอบอาหารราชสำนัก คือ พ่อครัวที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี จะต้องรู้จักคัดเลือกวัตถุดิบที่นำมาประกอบอาหารที่ดีที่สุดจากทั่วทุกมุมของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นพืชผัก เนื้อ หรืออาหารทะเล อาหารราชสำนักกับอาหารทั่วไปของเกาหลีนั้นมีความแตกต่างกันที่ อาหารราชสำนักจะไม่เน้นความจัดจ้านของรสชาติและเผ็ดเท่าอาหารทั่วไป
ชนิดของอาหารเกาหลีตามประเพณีนิยม
- บับ (Bap) ข้าวนึ่ง และจุค (Juk) ข้าวต้ม ข้าวต้มเป็นอาหารหลักของครัวเกาหลี ส่วนใหญ่ใช้ข้าวเหนียว บางครั้งเป็นพวกถั่ว เกาหลัด ข้าวฟ่าง ถั่วแดง ข้าวบาเลย์ หรือ ธัญญพืชชนิดต่างๆประกอบเพื่อเพิ่มรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการ ข้าวต้มถือว่าเป็นอาหารบำรุงและเป็นอาหารเบา มีข้าวต้มหลากหลายชนิด อาทิเช่น ชนิดที่ทำด้วยข้าวและมีส่วนผสม ด้วยถั่วแดง ฟักทอง หอยเป๋าฮื้อ โสม ลูกสน ผัก เนื้อไก่ เห็ด และถั่วงอก
- กุก (Guk) ซุป ซุปเป็นอาหารจานสำคัญเมื่อมีข้าวมาเสิร์ฟ เครื่องปรุงของซุปชนิดต่างๆมีผัก เนื้อสัตว์ ปลา หอยเชลล์ สาหร่ายทะเล และกระดูกวัว
- จิเก (Jjigae) สตูว์ ชิแจคล้ายกับกุกแต่ข้นกว่าและแห้งกว่า ชิแจที่เป็นที่นิยมมากที่สุดทำจากเต้าเจี้ยว ชิแจมักจะเผ็ดร้อนเสิร์ฟขณะร้อนจัดในชามหินร้อน
- จิม และ ชอริม (Jjim and Jorim) เนื้อหรือปลาตุ๋น จิม และชอริมเป็นอาหารคล้ายกันทำด้วยผักชุปซอสถั่วเหลืองแล้วนำมาเป็นส่วนผสมต้มในไฟอ่อน
- นามุล (Namul) พืชและผักใบเขียว นามุลทำด้วยพืชหรือผักใบเขียวนำมาต้มเพียงเล็กน้อยหรือทอดผสมกับเกลือ ซอสถั่วเหลือง งาเค็ม น้ำมันงา กระเทียม หัวหอม และเครื่องเทศ
- จอทกอล (jeotgal) อาหารทะเลหมักเกลือ จอทกอลเป็นอาหารรสเค็มจัดทำจากปลาหมักโดยวิธีธรรมชาติ หอยเชลล์ กุ้ง หอยนางรม ไข่ปลา พุงปลา และเครื่องปรุงอื่นๆ
- กุย (Gui) ประเภทปิ้งย่าง การทำกุยคือการนำเนื้อหมักย่างบนเตาถ่าน อาหารเนื้อชนิดนี้ที่เป็นที่นิยมคือ พุลโกกิ (bulgogi) และ คาลบิ (galbi) ยังมีอาหารจานปลาอีกหลายอย่างที่ปรุงด้วยวิธีนี้
- เชิน (jeon) จานกระทะร้อน เชินเป็นแพนเค้กชนิดหนึ่งที่ทำจากเห็ด ฟักทอง ปลาแห้งแผ่น หอยนางรม พริกเขียว เนื้อสัตว์ หรือเครื่องปรุงอื่นๆ ผสมกับเกลือและพริกไทยดำก่อนนำไปชุปแป้งและไข่แล้วทอด
- มันดู (Mandu) ประเภทยัดไส้ มันดูทำด้วยแป้งแผ่นยัดไส้เนื้อ เห็ด แตงทอด ถั่วงอก บางครั้งใช้เนื้อหมู เนื้อไก่ หรือปลา แทนเนื้อ
[NPC3]สิ่งที่ชาวเกาหลีนิยมทำขณะรับประทานอาหาร
1.ชาวเกาหลีนิยมทานอาหารเกาหลีโดยใช้ตะเกียบโลหะ(ชอซการัก)กับช้อนยาวโดยใช้ช้อนรับประทานข้าว ซุป และสตูว์และใช้ตะเกียบคีปเครื่องเคียงแบบอาหารแห้งหรือดอง แต่จะไม่นิยมใช้ช้อน และตะเกียบพร้อมกัน - การทานอาหารเกาหลี เสียงดังถือเป็นเรื่องปกติมาก สำหรับคนเกาหลี ยิ่งการเคี้ยวอาหารเสียงดังๆมาก แสดงให้รู้ว่าอาหารเกาหลีมีความอร่อยมากแค่ไหน
3.เมื่อทานอาหารเกาหลีเสร็จควรวางช้อน และตะเกียบลงบนโต๊ะ ไม่นิยมวางไว้บนจานหรือชามอาหาร
4.พ่อครัวแม่ครัวอาหารเกาหลีจะยินดีรับคำติ-ชมเกี่ยวกับรสชาติอาหาร และบริการ
5.ควรรอให้ผู้อาวุโสที่สุดเป็นฝ่ายบอกเริ่มการรับประทานอาหารก่อนเสมอ
6.ผู้ที่มีอายุน้อยที่สุดต้องเป็นคนรินเครื่องดื่มให้ผู้อาวุโสกว่า เพื่อเป็นการแสดงความเคารพและต้องรินด้วยสองมือ เมื่อมีคนรินเครื่องดื่มให้ก็ควรรินกลับเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ
[NPC4]สิ่งที่ชาวเกาหลีไม่นิยมทำขณะรับประทาน
1.ปักตะเกียบไว้ในชามข้าวเพราะถือว่าเป็นการ เซ่นไหว้คนตาย
2.ชาวเกาหลีไม่นิยมยกจาน หรือชามขึ้นมาขณะรับประทานอาหาร แต่จะนิยมใช้เป็นจานเล็กๆส่วนตัวแทน
3.การพูดคุยระหว่างทานอาหารที่บ่อยเกินไป เป็นการเสียมารยาทแต่ปัจจุบันไม่เคร่งครัดเท่าไรนัก - คนเกาหลีไม่ค่อยนิยมแชร์ค่าอาหารกัน ยกเว้นบางกรณี คุณควรเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่จะเป็นเจ้าภาพหรือไม่ ก็เป็นแขก
5.การสั่งน้ำมูกระหว่างที่ทานอาหารเกาหลี ถือว่าไม่สุภาพ(ที่ไทยก็เหมือนกันแหละเนอะ)
6.ในระหว่างที่ผู้ใหญ่ หรือผู้อาวุโสกำลังรับประทานอาหารอยู่ ไม่ควรลุกออกจากโต๊ะ
เครดิต https://www.creatrip.com/th/blog/9910